วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

สตรี กับ อิสลาม


ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่านครับ



…กุรอาน 114 ซูเราะห์ (บท) มีอยู่ซูเราะห์หนึ่ง เป็นซูเราะห์ลำดับที่ 4 มีนามว่า อัน-นิซาอฺ (An-Nisaa) แปลว่า บรรดาสตรี...เพราะเนื่องจากว่า ในซูเราะห์นี้ ได้กล่าวเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ และข้อปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับสตรีไว้มากมาย อันแสดงถึงการให้ความสำคัญต่อข้อควรปฏิบัติของสตรี ในหลักการของอิสลาม


ฐานะของสตรีในอิสลาม

...อัลเลาะห์ได้ทรงกำหนดให้สตรีมีความเท่าเทียมกับบุรุษในความเป็นมนุษย์ เฉกเช่นความเท่าเทียมกันในการรับผลบุญและการลงโทษในการประพฤติปฏิบัติ อัลเลาะห์ตรัสว่า :

“ผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขาที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้ (กุรอาน 16:97 )

โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ไม่อนุมัติแก่พวกเจ้าที่พวกเจ้าจะเอาบรรดาผู้หญิงเป็นมรดกด้วยการบังคับ (กุรอาน 4:19)



ศาสนากล่าวว่า "ในวันพิพากษา หากสตรีคนใดจะต้องถูกลงโทษ เพราะ ความผิดของนางในโลกนี้แล้ว ...ผู้ชาย4 คนซึ่งได้แก่ บิดา พี่ชายหรือน้องชาย สามีและลูกชาย จะต้อง ร่วมรับผิดชอบด้วย หากเขาเหล่านั้น มิได้ทำการตักเตือน สั่งสอนหรือห้ามปรามนาง"

นอกจากนี้ อิสลามยังได้วางกฎเกณฑ์ในด้านต่าง ๆ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสตรี และสิทธิอันชอบธรรมของบรรดาสตรีทั้งมวล


-----------------------------------------------------------------------------------
สิทธิของสตรีในการแสวงหาความรู้

…อิสลามไม่ได้ห้ามหรือขัดขวางสตรีในการแสวงหาความรู้ ดังที่นักวิชาการตะวันตกมักโจมตี โดยมักยกเอากรณี ตาลีบัน มาเป็นข้ออ้าง แต่เขาเหล่านั้นกลับไม่เคยอ้างถึงหลักการที่แท้จริงของอิสลามเลย...

...ท่านศาสนทูต กล่าวว่า "การแสวงหาความรู้ เป็นข้อบังคับเหนือมุสลิมทุกคน และแท้จริงผู้แสวงหาความรู้นั้น ทุกๆสิ่ง จะขออภัยให้แก่เขา แม้แต่ปลาในท้องทะเล" (รายงานโดย อิบนุอับดิลบัรรฺ จาก อนัส)

และหะดิษที่ว่า “จงศึกษาตั้งแต่อยู่ในเปล จนถึงหลุมฝังศพ”

...เกี่ยวกับการทำงาน หรือการเรียนรู้ที่ต้องออกจากบ้านนั้น .....เชค ดอกเตอร์ ซอและห์ บิน เฟาซาน บิน อับดุลเลาะฮ์ อัลเฟาซาล ได้ฟัตวา(วินิจฉัยชี้ขาด) ว่า

1. นางหรือสังคมมีความจำเป็นที่จะต้องทำงานนั้นโดยไม่มีผู้ชายมาทำ
2. งานนั้นต้องเป็นงานรองหลังจากงานหลักของนางที่บ้าน (คือ งานบ้านต้องสำคัญเป็นอันดับแรก)
3. เป็นงานที่ทำในแวดวงของผู้หญิง ไม่ปะปนกับผู้ชาย เช่น สอนนักเรียนหญิง รักษาพยาบาลคนไข้หญิง เป็นต้น หรือมีการแยกส่วนกันอย่างชัดเจน
4. อนุญาตหรือจำเป็นที่สตรีต้องเรียนรู้ศาสนาเบื้องต้นเกี่ยวกับตัวของนาง และเรียนสิ่งที่มีความจำเป็นต่อตัวนางในการใช้ชีวิตบนโลกนี้ โดยการเรียนการสอนต้องไม่ปนกับ
ผู้ชาย นางสามารถไปเรียนที่มัสยิด ได้แต่นางต้องแต่งตัวมิดชิด แยกจากผู้ชาย

....นอกจากนี้ท่านนบีมุฮัมมัดได้สนับสนุนให้พ่อแม่ อบรบสั่งสอนลูกสาวให้มีความรู้เละมีคุณธรรม โดยกล่าวว่า “ใครที่เลี้ยงลูกสาวอย่างดีจนกระทั่งโต เขากับฉันจะได้อยู่ด้วยกันในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ”...แล้วท่านก็ยกนิ้วสองนิ้วติดกัน

-----------------------------------------------------------------------------------
สิทธิของสตรีในการเลือกคู่ครอง

…อิสลามได้เปิดโอกาสให้สตรี มีโอกาสเลือกคู่ครองได้ด้วยตนเอง โดยให้พิจารณา ความเป็นคนมีคุณธรรม (อิหม่าน) เป็นอันดับแรก...นอกจากนี้อิสลามได้วางระบบการแต่งงานให้เอื้ออำนวยประโยชน์แก่สตรีและผู้ปกครองของนาง นั่นคือ สตรีจะแต่งงานได้เมื่อมี วลี (ผู้ปกครอง หรือผู้รับมอบอำนาจการแต่งงาน) เท่านั้น...และวลี ก็ต้องได้รับความยินยอมหรือการตกลงใจจากฝ่ายเจ้าสาวเท่านั้น...นั่นคือ สตรีจะแต่งงานโดยพลการไม่ได้ และวลีก็ไม่มีสิทธิ์บังคับให้สตรีแต่งงานได้เช่นกัน

...นอกจากนี้อิสลาม ได้วางหลักเกณฑ์เรื่องสินสอด (มะฮัร) โดยกำหนดว่าผู้ชายจะต้องเป็นผู้ให้ของขวัญแต่งงานแก่เจ้าสาวของขวัญนี้เรียกว่า “มะฮัรฺ” ซึ่งผู้หญิงมีสิทธิ์เรียกร้องและเป็นของผู้หญิง คัมภีร์กุรอานกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าผู้ชายมีหน้าที่ต้องให้มะฮัรฺแก่ผู้หญิง เว้นเสียแต่ว่าผู้หญิงเลือกที่จะไม่รับ

"จงให้มะฮัรฺแก่นางด้วยความเต็มใจ แต่ถ้านางเห็นชอบที่จะให้สิ่งหนึ่งแก่สูเจ้า ก็จงกินมันด้วยความสำราญและตามที่พอใจ" (กุรอาน 4:4)

นั่นคือ...บุคคลเดียวที่มีสิทธิกำหนดจำนวนและมูลค่าของสินสอดนั้น คือ สตรีที่เป็นเจ้าสาว เท่านั้น ไม่ใช่บิดามารดา หรือญาติทางฝ่ายหญิง


-----------------------------------------------------------------------------------
สตรีมุสลิมในฐานะภรรยา

...อิสลามได้ยกย่องสตรีในฐานะภรรยา และวางข้อปฏิบัติระหว่างสามี ภรรยาไว้อย่างยุติธรรม เพื่อป้องกันการละเมิดจากกันและกัน โดยมีตัวอย่างจากท่านบีมูฮัมหมัดเป็นแบบอย่างที่ดีในการปฏิบัติต่อภรรยา

...ท่านหญิงอาอิชะฮ์ (ร.ด.) เล่าว่า “เมื่อท่านนบีอยู่บ้าน ท่านจะช่วยภรรยาของท่านทำงานบ้านเป็นประจำ” (รายงานโดย บุคคอรี)



มีหะดิษที่รายงานเกี่ยวกับสถานภาพของภรรยาเช่น

มุสลิมที่สมบูรณ์ยิ่ง คือผู้ที่มีความประพฤติอ่อนโยน และผู้ที่ถูกยกย่องในท่านทั้งหลาย คือผู้ที่มีคุณธรรมที่สุดต่อภรรยาของตน

“โลกมีสิ่งที่อำนวยความสุข แต่สิ่งที่ดีที่สุด คือ กุลสตรีที่เป็นภรรยาที่ดีและมีคุณธรรม”

“โอ้ประชาชนทั้งหลายพวกท่านทั้งหลายมีสิทธิที่ได้รับมอบหมายเหนือฝ่ายสตรี และฝ่ายสตรีก็มีสิทธิเหนือฝ่ายชายเช่นกันในหน้าที่ที่ท่านได้รับมอบหมาย ดังนั้นพวกท่านจงได้ปกป้องดูแลภรรยาของพวกท่านด้วยความรักความเมตตาเถิด แน่นอนใครที่ทำได้เช่นนั้นก็เท่ากับเขาได้ปกครองดูแลภรรยาของเขาเอาไว้ให้อยู่ในความพิทักษ์รักษาของพระผู้เป็นเจ้า”

นอกจากนี้กุรอานยังกล่าวไว้ว่า .-

"และสิทธิของพวกนางเหมือนกันกับสิทธิของสามี ที่พึงมีอยู่เหนือนางโดยชอบธรรม " (กุรอาน 2:228)

"และพวกเจ้าจงร่วมชีวิตกับพวกนางด้วยคุณธรรม" (กุรอาน 4:19)

...แม้ว่า อิสลาม จะอนุญาตให้สามีลงโทษภรรยาได้ โดยไม่เกินกว่าเหตุ ... แต่สิ่งหนึ่งที่อิสลามห้ามอย่างเด็ดขาดก็คือ “การตบหน้าภรรยา” เพราะอิสลามถือว่าเป็นการดูหมิ่นเกียรติและศักดิ์ศรีของภรรยาอย่างรุนแรง


-----------------------------------------------------------------------------------
สตรีมุสลิมในฐานะผู้ถูกหย่า

....อิสลาม ห้ามอย่างเด็ดขาดในการอธรรมต่ออดีตภรรยา ด่วยการเอาสิ่งใด สิ่งหนึ่งคืนมาจากภรรยาด้วยสาเหตุของการหย่า เช่น

"และถ้าพวกนางปรารถนาที่จะสับเปลี่ยนคู่ครอง คนหนึ่งแทนที่ของคู่ครองอีกคนหนึ่ง (โดยหย่าคนเดิม) และพวกเจ้าเคยให้แก่คนหนึ่งจากพวกนางซึ่งทรัพย์สมบัติอันมากมาย ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าเอาสักสิ่งหนึ่งจากนั้น (คืนมา)...” (กุรอาน 4:20)

...คัมภีร์กุรอานเน้นถึงเรื่องการให้ความกรุณาปรานีแก่ผู้หญิงถึงแม้ว่าจะหย่านางไปแล้ว


“หลังจากนั้น เมื่อพวกนางอยู่จนสิ้นสุดระยะเวลาแห่งการรอคอยแล้ว จงรั้งตัวพวกนางไว้ด้วยดีหรือไม่ก็ให้พวกนางจากไปด้วยดี” (กุรอาน 65:2)


…นั่นหมายความว่ามุสลิมจะต้องไม่กักตัวภรรยาของตัวเองไว้อย่างไม่มีจำกัดเวลาโดยไม่ตัดสินใจว่าจะให้ เธอเป็นภรรยาต่อหรือจะแยกจากเธอ


-----------------------------------------------------------------------------------
สตรีมุสลิมในฐานะผู้ถือกรรมสิทธิ์


...ในขณะที่สตรีชาวอังกฤษยังไม่ถูกยอมรับว่ามีสิทธิเป็นเจ้าของในการครอบครองสิ่งต่างๆ จนถึงปี1870 เช่นเดียวกันกับสตรีชาวเยอรมัน จนถึงปี 1900 สตรีชาวสวิสเซอร์แลนด์ จนถึงปี1907 และสตรีชาวอิตาลีจนถึงปี1919 …แต่สิทธิของสตรีมุสลิมในการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์นั้นมีมานานกว่า 1,400 ปีแล้ว

"สำหรับบรรดาผู้ชายนั้น ย่อมมีส่วนรับของตนเอง จากที่พวกเขาได้อุตสาหะไว้ และสำหรับผู้หญิงก็มีส่วนรับ (ของตนเอง) จากที่พวกนางได้อุตสาหะไว้ " ( กุรอาน 4 :32 )


-----------------------------------------------------------------------------------
สตรีมุสลิมในฐานะมารดา

…อิสลามกล่าวยกย่องสตรี ในฐานะมารดาไว้มากมาย และประณามผู้ที่ทำให้มารดาของตนต้องได้รับความเสียใจไว้อย่างรุนแรง อาทิเช่น

"และพระเจ้าของเจ้าบัญชาว่า พวกเจ้าอย่าเคารพภักดีผู้ใดนอกจากพระองค์เท่านั้นและจงทำดีต่อบิดามารดาเมื่อผู้ใดในทั้งสองหรือทั้งสองบรรลุสู่วัยชราอยู่กับเจ้า ดังนั้นอย่ากล่าวแก่ทั้งสองว่า อุฟ (คำอุทานแสดงความเบื่อ ความรำคาญและรังเกียจ) และอย่าขู่เข็ญท่านทั้งสอง และจงพูดแก่ท่านทั้งสองด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน ….และจงนอบน้อมแก่ท่านทั้งสอง ซึ่งการถ่อมตนเนื่องจากความเมตตา และจงกล่าวว่า “ข่าแต่พระเจ้าของฉัน ทรงโปรดเมตตาแก่ท่านทั้งสองเช่นที่ทั้งสองได้เลี้ยงดูฉันเมื่อเยาว์วัย” (กุรอาน 17: 23-24)

( นักวิชาการมุสลิม กล่าวว่า การที่กุรอานสั่งให้ทำความดีต่อบิดามารดา หลังจากใช้ให้เคารพภักดีต่อพระองค์นั้น...เป็นการแสดงถึงความสำคัญของ บิดามารดา และความสำคัญในการทำดีต่อท่านทั้งสองเป็นอย่างสูง )

ท่านนบีมุฮัมมัด ได้กล่าวหะดิษที่เกี่ยวข้องกับ บิดา มารดาไว้มากมายเช่น

“บาปที่ยิ่งใหญ่คือการยกสิ่งอื่นเทียบเคียงอัลเลาะห์ การฆ่ามนุษย์ การอกตัญญูต่อพ่อแม่ และการเป็นพยานเท็จ (บันทึกโดยบุคคอรี)

"สวรรค์นั้นอยู่ใต้ฝ่าเท้าของมารดา" (บันทึกโดย นะซาอี)

"ความพอพระทัยของอัลลอฮฺขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแม่ และความกริ้วของอัลลอฮฺนั้นก็ขึ้นอยู่กับความโกรธและความไม่พอใจของพ่อแม่ ลูกจะต้องไม่ทำให้พ่อแม่ต้องโกรธ"

ครั้งหนึ่ง ท่านอบูฮุรอยเราะห์ ได้มาท่านนบีและถามว่า ใครจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ท่านนบีตอบว่า
“แม่ของท่าน” ท่านอบูฮุรอยเราะห์จึงถามต่อว่า แล้วใครอีก ท่านนบีตอบว่า “แม่ของท่าน” ท่านนบีตอบเช่นนี้อยู่ 3 ครั้ง และในครั้งที่ 4 ท่านจึงตอบว่า “พ่อของท่าน”...(หะดิษบุคคอรีและมุสลิม)


-----------------------------------------------------------------------------------------

ทั้งหมดคือ เรื่องราวเพียงบางส่วนของสตรีในศาสนาอิสลาม ครับ ทิ้งท้ายไว้ด้วยคำกล่าวที่ว่า

“อัลลอฮ์สร้างผู้ชายให้มาพิชิตโลกนี้ แต่ขณะเดียวกัน ...ก็สร้างผู้หญิงให้มาพิชิตผู้ชาย”



ด้วยจิตคารวะ

(หากนำไปเผยแพร่ กรุณาระบุที่มา)

ไม่มีความคิดเห็น: