วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551

การศรัทธาในโลกหน้า..ทำไมและเพราะอะไร (ตอนที่ 1 )

ขอความสันติสุขจงมีแด่ทุกท่าน


มีคำถามหนึ่งได้ถามมายังผมว่า “ เหตุใด การเป็นมุสลิม ต้องศรัทธา ในโลกหน้า”
คำถามนี้ ผมขอแยกเป็น 2 คำถามย่อย เพื่อให้เข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น คือ
1.ทำไมต้องศรัทธา
2.เหตุผลของการศรัทธา คืออะไร


1.ทำไมต้องศรัทธา?

คำตอบที่ง่ายที่สุด และ เป็นเหตุผลของตัวมันเอง ก็คือ เพราะเป็นมุสลิม จึงต้องศรัทธาโลกหน้า... ถ้ายังงง เราลองย้อนไปดูหลักศรัทธา ของการเป็นมุสลิมกันก่อนดีกว่ามั้ย ครับ

หลักการศรัทธาของอิสลามนั้น มี 6 ประการหลัก ๆ ข้อแรก คือ การศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า และข้อที่ 5 คือ การศรัทธาในโลกหน้า
สิ่งที่เป็นข้อพิสูจน์ความจริง และการยอมรับศรัทธาในเรื่องโลกหน้านั้น มี 3 หนทางด้วยกัน

1.1 การศรัทธาในโลกหน้า เพราะ เป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า ตรัสไว้
1.2 การศรัทธาในโลกหน้า เพราะท่านศาสดา ได้กล่าวไว้


1.1 การศรัทธาในโลกหน้า เพราะ เป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า ตรัสไว้

กุรอาน นั้น คือ คำตรัสของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าจะส่วนหนึ่งส่วนใด หรือ ทั้งหมดก็ตาม กุรอานเองยืนยันตัวมันเองว่า ทุกส่วนของมันนั้น คือ คำตรัสของพระเจ้า และคำตรัสของพระเจ้า ย่อมเป็นสิ่งสัตย์จริงเสมอ

“..อัลกุรอานนั้น มิใช่อะไรอื่นนอกจากคำตักเตือนสำหรับประชาชาติทั้งหลายเท่านั้น” (กุรอาน 6: 90)

“ พวกเขาไม่พิจารณาดูอัล-กุรอานบ้างหรือ ? และหากว่า อัล-กุรอานมาจากผู้ที่ไม่ใช่อัลลอฮฺแล้วแน่นอนพวกเขาก็จะพบว่าในนั้นมีความขัดแย้งกันมากมาย” (กุรอาน 4: 82)

“ และอัลกุรอานนี้มิใช่จะถูกปั้นแต่งขึ้นโดยผู้ใดนอนจากอัลลอฮ์ เป็นการยืนยันคัมภีร์ที่มีมาก่อน และเป็นการจำแนก ข้อบัญญัติต่าง ๆ ในนั้น ไม่มีข้อสงสัยในคัมภีร์นั้น ซึ่งมาจากพระเจ้าแห่งสากลโลก” (กุรอาน 10: 37)


กุรอาน หรือ คำตรัสของพระผู้เป็นเจ้านั้น ได้บอกแก่เราถึงเรื่องความตาย และ เรื่องโลกหน้าไว้ในหลายส่วนด้วยกัน เช่น


"ทุกชีวิตย่อมลิ้มรสความตาย และเราจะทดสอบพวกเจ้าด้วยความชั่วและความดี และพวกเจ้าจะต้องกลับไปหาเราอย่างแน่นอน " (กุรอาน 21: 35)

“ผู้ที่ศรัทธาในคัมภีร์ ที่เราได้ส่งมาให้แก่เจ้า และในคัมภีร์ที่เราได้ส่งมา ก่อนหน้าเจ้า และเชื่อมั่นในโลกหน้า” (กุรอาน 2:4 )

“และชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้นั้นมิใช่อะไรอื่น นอกจากการเล่น และการเพลิดเพลินเท่านั้น และแน่นอนสำหรับบ้านแห่งอาคีเราะห์ นั้นดียิ่งกว่า สำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกรง พวกเจ้าไม่ใช้ปัญญาดอกหรือ? (กุรอาน 6:32 )

“และแท้จริงบรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อโลกหน้านั้น เราได้เตรียมไว้สำหรับพวกเขาแล้วซึ่งการลงโทษอันเจ็บแสบ” (กุรอาน 17:10 )



1.2 การศรัทธาในโลกหน้า เพราะ เป็นสิ่งท่านศาสดา กล่าวไว้

ท่านศาสดามูฮัมมัด (ซล.) ได้ถูกกล่าวไว้ว่า ท่านคือ ผู้นำ และ ผู้สืบสาส์นจากพระเจ้า มายังมนุษย์ ทุกสิ่งที่ท่านกล่าวหรือ บอกให้เรารู้นั้น ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง หากแต่มาจากการดลใจของพระผู้เป็นเจ้า

“..และเจ้าจงปฏิบัติตามที่ถูกวะฮีย์ (ดลใจ)แก่เจ้าและจงอดทน..” (กุรอาน 10:109 )

“และในทำนองนั้น เราได้ให้อัลกุรอานแก่เขาไว้เป็นข้อชี้ขาดที่เป็นภาษาอาหรับ…” (กุรอาน 13:37 )

“และจงอ่านสิ่งที่ถูกวะฮี (ดลใจ) แก่เจ้า จากคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้าของเจ้า ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงคำกล่าวของพระองค์ และเจ้าจะไม่พบที่พึ่งใด ๆ เลยนอกจากพระองค์” (กุรอาน 18:27 )

จาก อบูมุฮัมมัด อับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺ บิน อัล อาศ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า "คนหนึ่งคนใดในพวกท่าน ไม่มีศรัทธา (ที่แท้จริง ที่สมบูรณ์) จนกว่าความต้องการ ของเขาจะตาม (เห็นด้วยกับ) สิ่งที่ฉันได้นำมา (สอนแก่ท่าน)" ( หะดีษหะซัน เศาะฮีหฺ)


ท่านศาสดา ได้กล่าวถึงเรื่องโลก หรือ กล่าวพาดพิงไปยังโลกหน้า ( กิยามะห์ และ อาคิเราะห์ ) ไว้ เช่น


"พึงทราบเถิดว่า ผู้ใดก็ตามที่กดขี่ต่อ ผู้มีพันธะสัญญา หรือ ล่วงละเมิด หรือ ให้เขารับผิดชอบในสิ่งที่เกินกำลังของเขา หรือ เอาสิ่งใดจากเขา โดยที่เขาไม่เต็มใจ ดังนั้น ฉันจะโต้แย้งกับเขาในวันกิยามะฮ" (รายงานโดยอบูดาวูด)

จาก อบู ฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า

" ผู้ใดศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และศรัทธาต่อวันสุดท้าย เขาจักต้องพูดจาที่ดีๆหรือไม่ก็เงียบ และผู้ใดศรัทธาในอัลลอฮฺและวันสุดท้าย เขาจักต้องให้เกียรติเพื้อนบ้านของเขา และผู้ใดศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันสุดท้าย เขาจักต้องให้เกียรติแขกของเขา" ( หะดีษนี้ บันทึกโดย บุคอรี มุสลิม)


หะดิษ ( คำพูด) นี้มีนัยยะสำคัญซ่อนอยู่ สังเกตให้ดีจะเห็นว่า ท่านศาสดานั้น เน้นย้ำอยู่กับ 2 สิ่งที่สำคัญยิ่ง นั่นคือ พระผู้เป็นเจ้า และ วันสุดท้าย หรือ โลกหน้า อันเป็นการแสดงให้เห็นว่า ความสำคัญของการศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้านั้น มีปลายทางอยู่ที่ การเดินทางสู่โลกหน้านั่นเอง


ดังนั้น จะเห็นได้ว่า หลักฐานการอ้างอิงเรื่องโลกหน้า นั้น มิใช่การนึกฝันหรือ พูดเอาเองจากใคร หากแต่มีหลักฐานชัดแจ้งมาจาก พระผู้เป็นเจ้า และ ผู้นำสาส์นของพระองค์ จึงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ผู้ที่ยอมรับในศาสนาอิสลาม จะปฏิเสธความศรัทธาในเรื่องนี้

หากเราศรัทธาในศาสนาอิสลามด้วยเชื่อว่า มีพระเจ้าที่แท้จริงอยู่แล้ว เช่นนั้น เหตุใดจึงไม่ศรัทธาในสิ่งที่พระองค์ตรัสเล่า?

หากเราศรัทธาในศาสนาอิสลามด้วยเชื่อว่า กุรอานนั้นคือ ความสัตย์จริงบนโลกแห่งการหลอกลวงใบนี้แล้ว เช่นนั้น เหตุใดจึงไม่ศรัทธาในสิ่งที่กุรอาน กล่าวว่า มันมีอยู่จริงเล่า?

และหากเราศรัทธาในศาสนาอิสลามด้วยเชื่อว่า ท่านศาสดาคือ ผู้นำสาส์นที่แท้จริงจากพระเจ้ามาสู่มนุษย์แล้ว เช่นนั้น เหตุใดจึงไม่ศรัทธาในสิ่งที่ท่านศาสดาได้กล่าวตักเตือนเราไว้เล่า ?



หลักศรัทธาในศาสนาอิสลามนั้น มิได้ถูกจำแนกแยกย่อยเป็นปัจเจก หรือ ดำรงอยู่อย่างเอกเทศได้ แต่ หลักศรัทธาทั้งหมดนั้น มีที่มาจากหลักการศรัทธาเพียงข้อเดียวคือ “ลาอิลาฮฺ ฮาอิลลัลเลาะห์” หรือ “ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลเลาะห์” เราเลือกที่จะศรัทธาข้อนั้น ไม่ศรัทธาข้อนี้ ไม่ได้ เพราะ ดังได้กล่าวแล้วว่า ... การศรัทธาในศาสนาอิสลามนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาจำแนกแยกย่อยพิจารณา หากแต่ทั้งหมด คือ องค์ประอบที่รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างไม่สามารถแยกออกจากกันได้


ดังนั้น การศรัทธาในโลกหน้านั้น จึงมิใช่เป็นการศรัทธาในตัวตน หรือการมีอยู่อย่างเอกเทศของมัน หากแต่มันเป็นผลผลิตของความศรัทธา ที่มีต่อแก่นของศาสนาอิสลาม .... ความศรัทธาสูงสุดของอิสลามนั้นคือ การศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว และ การศรัทธาในข้ออื่นๆ นั้น ก็คือ ผลที่เกิดขึ้นตามมาจากการศรัทธา ในพระผู้เป็นเจ้า นั่นเอง …. หากการศรัทธาในศาสนาอิสลามคือต้นไม้ 1 ต้น แก่นของลำต้นนั้นก็คือ การศรัทธาในพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว และการศรัทธาในข้ออื่น ๆ ก็คือ บรรดา ใบ ดอก และ ผลของมัน ... แน่นอนว่า ต้นไม้ นั้นอาจอยู่ได้ด้วยแก่นของมัน แต่ มันจะเป็นต้นไม้ที่สมบูรณ์ไม่ได้ หากว่า ใบ ดอก และผลของมันไม่งอกเงยออกมา และไม่ถูกยอมรับ


ต้นแอบเปิ้ล จะเป็นต้นแอปเปิ้ลที่สมบูรณ์ได้อย่างไร หากว่า มันไม่เคยมีใบ หรือ ผลแอปเปิ้ลออกมาเลย สักครั้งเดียว.... ความศรัทธาก็เช่นกัน จะสมบูรณ์ได้อย่างไร เมื่อมันถูกปฏิเสธองค์ประกอบของการศรัทธาทิ้งไป....


ไม่มีความคิดเห็น: